งานฉบับนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมา พัฒนาการ และกรรมวิธีการทำนาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประ ตำบลลำปำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง มาวิเคราะห์ศักยภาพและปัจจัยที่มีผลต่อการอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญา และหาแนวทางการอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสาร งานวิจัย และฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับการเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิจากการลงภาคสนาม สำรวจพื้นที่ทำนา สังเกตการณ์ และสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ ชาวนาที่ทำนาในทะเลสาบในช่วงปี พ.ศ. 2556-2557 จำนวน 23 ราย องค์การบริหารส่วนตำบลลำปำ ศูนย์วิจัยข้าวพัทลุง และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง พบว่า
1. บ้านปากประเป็นชุมชนชาวนาเก่าแก่บริเวณปากคลองปากประ ตอนบนของทะเลสาบสงขลา ในอดีตอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก หากปีใดฝนไม่ตกตามฤดูกาลจะส่งผลให้นาข้าวเสียหายได้ผลผลิตไม่เพียงพอ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ชาวนาได้ทดลองหว่านข้าวในทะเลสาบซึ่งมีลักษณะเป็นดินโคลน ในแต่ละรอบปีน้ำทะเลจะลดระดับลงติดต่อกันประมาณ 4-5 เดือน (มิถุนายน-ตุลาคม) พอเหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นข้าวและต้นข้าวก็เจริญงอกงามดี จึงได้สืบทอดการทำนาในทะเลสาบหรือที่เรียกว่า “นาในเล” มาถึงปัจจุบันพัฒนาการการทำนาในทะเลสาบสามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วง คือ 1) ช่วงเริ่มแรก พ.ศ. 2470-2530 เป็นการทำนาแบบดั้งเดิมอาศัยแรงงานคนและเครื่องมือ อุปกรณ์อย่างง่าย2) ช่วงซบเซา พ.ศ. 2531-2555 การทำนาในทะเลสาบลดลง เนื่องจากชาวนาเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น และ 3) ช่วงฟื้นฟู พ.ศ. 2556-2558 การทำนาในทะเลสาบเริ่มได้รับการฟื้นฟูขึ้น เนื่องมาจากความสนใจจากสื่อต่างๆ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
2. ศักยภาพและความโดดเด่นของภูมิปัญญาการทำนาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประประกอบด้วย ฐานสำคัญ 3 ด้าน คือ 1) สภาพภูมิศาสตร์ ในช่วงต้นฤดูฝน (มิถุนายน-กันยายน) น้ำจืดจะไหลบ่าจากคลองปากประทำให้น้ำทะเลบริเวณชายฝั่งบ้านปากประเป็นน้ำจืด ประกอบกับดินที่เกิดจากการพัดพาตะกอนจากคลื่นลมทะเลทำให้อุดมไปด้วยสารอินทรีย์มีความร่วนซุยเช่นเดียวกับดินที่ผ่านการไถดะเตรียมไว้สำหรับหว่านดำ นอกจากนี้การขึ้นลงของกระแสเค็มน้ำยังช่วยพัดพาและย่อยสลายซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยว เป็นการชำระล้างและบำรุงหน้าดินตามธรรมชาติ 2) ชาวนามีการสั่งสมความรู้เกี่ยวกับการทำนาและเข้าใจสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของชุมชนเป็นอย่างดี สามารถปรับตัวและใช้ทรัพยากร ธรรมชาติอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด และ3) ผลผลิตปลอดสารพิษ เนื่องจากดินอุดมสมบูรณ์โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีบำรุง กระนั้นถึงระยะ 2-3 ปี ที่ผ่านมาการทำนาในทะเลสาบจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วก็ตาม แต่ยังไม่เท่าในอดีตที่มีพื้นที่ทำนายาวถึง 6 กิโลเมตร ในปัจจุบันเหลือเพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น อีกทั้งปัญหาชาวนาส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะขาดผู้สืบทอดในอนาคต
3. แนวทางการอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาจึงควรเริ่มต้นด้วยการรวมกลุ่มชาวนาที่ทำนาในทะเลสาบอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการดำเนินงานอื่นๆ ได้แก่ การรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาอย่างเป็นระบบเพื่อให้เป็นฐานข้อมูลและคลังความรู้ของชุมชน การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างแรงบันดาลใจ การส่งเสริมหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อให้มีการส่งต่อภูมิปัญญาสู่คนรุ่นต่อไป การจัดกิจกรรมเกี่ยวกับภูมิปัญญาการทำนาในทะเลสาบอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวอยู่เสมอ การสร้างผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์จากนาในทะเลสาบเพื่อขยายบทบาทของภูมิปัญญาให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มชาวนา การขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไปทั้งในแนวกว้างและแนวลึก และการเชื่อมโยงจุดท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมกับแหล่งท่องเที่ยวในตำบลลำปำ และตำบลทะเลน้อย ซึ่งการดำเนินงานเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้คนในชุมชนทุกช่วงวัยเกิดความตระหนักในคุณค่าและความสำคัญในมรดกภูมิปัญญาของชุมชนและนำไปสู่การสืบสานภูมิปัญญาอย่างมั่นคงยั่งยืน
This study was a qualitative research. The objective of this study was to investigate and collect information about the rice farming background and process in a lake, Ban Pak-Pra community, Lampam Subdistrict, Mueang, District, Phatthalung in order to analyze the potential and the factors affecting the conservation for inheriting the wisdom of farming. The researcher studied data from documents, related researches, and databases and information. Primary data were collected through conducting field study, survey, observation, and interview of 23 involving people including local farmers in Ban Pak Pra Community during 2013-2014 and involving agencies including Lampam Sub-district Administrative Organization, Phatthalung Rice Research Center and Cultural Office Phatthalung. The results of this study showed as follows:
1. Ban Pak Pra is an ancient community of farmers located at mouth of a Pak Pra canal, upper area of Songkhla Lake. Historically, farming mainly depended on rainfall. If rainfall fluctuated that did not follow the usual season in some year, rice fields were negatively affected, resulting in low and insufficient productivity. To address this issue, the farmers have tried to sow rice in the lake where muddy soil contains. Sea level has receded consecutively throughout 4-5 months; from June to October. This is consistent with the growth period of rice crops. It appeared that the rice crop grown in coastal lakes grew very well. This is also called “Farming in the lake”. Until now, it takes more than a century of this farming practice in the community. There were three phases of its development: 1) At initial period of 1927-1987; local farmers conducted traditional farming practice by depending on labor and simple equipment and devices, native rice varieties. 2) At recession period of 1988-2012, the rice farming in the lake reduced. Many deserted rice fields were found because local farmers shifted to other jobs. The use of native rice varieties was unapparent. 3) At restoring period of 2013-2015, rice farming in the lake had been restored because media pay their attention to the rice farming in the lake and eco-tourism had been promoted.
2. The farming in lake of Ban Pak-Pra has the unique style due to three areas: 1) geography contributing to the farming in the lake. The area is located at the top of brackish water area. Since during June-September is an early rainy season, freshwater flows from Pak-Pra canal, resulting in sea water in inshore area becomes freshwater. Besides, the blow of soil-borne sediment and beach sediment by wave action makes the soil rich in organic elements, makes the soil incoherent as if the soil prepared for sowing and plowing. Moreover, the rise and fall in saltwater helps blow and decompose rice straw after harvesting to naturally cleanse and nourish the soil. 2) farmers have accumulated body of knowledge of farming and understanding of natural environment at the community very well. 3) products are non-toxic because the soil is fertile, chemical fertilizer does not required. Presently, the rice farming in the lake reduced, has 3 km in this area, but there use to has6 km of farm in the past. Most of local farmers are those aged over 50 years. It is more likely that they lack their successors.
Therefore, the guidelines to inherit the wisdom of farming should begin with local people’s practice, concrete grouping of local farmers in order to drive and encourage other operations including the systematic collection and storage of information about wisdom as a database and knowledge center of the community. This includes the establishment of a learning center for the community as a center for spreading, information exchange, and creating inspiration, local programs promotion in order to convey local wisdom to the next generation. Activities on the lake farming wisdom should be consistently held to create awareness. Organic rice products from lake should be created to expand the role of local wisdom to increase farmers' income. The width and depth of farmland should be expanded. Eco-cultural tourism should be linked with tourist places in Lampamand TalayNoi sub-districts. The activities should be held continually to promote local people’s awareness of value and importance of local wisdom and heritage of the community, leading to sustainable wisdom inheritance.